วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ออกกำลังกายลดพุง

เคล็ดลับการออกกำลังกายที่จะช่วยลดความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


บางคนชอบออกกำลังกายอย่างหักโหม 2-3 ชั่วโมง บางคน 3-4 ชั่วโมงนั้น จะทำให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป และเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับร่างกาย ก็จะมีผลให้อ้วนง่าย ดังนั้นเราควรออกกำลังกายแค่พอเหมาะวันละ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้วค่ะ
เคล็ดลับที่จะช่วยให้เราออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนอย่างมีประสิทธิภาพได้แก่

1. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ เพราะถ้าออกกำลังกายมากเกินไป แทนที่ร่างกายจะฟิต กลับต้องสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปแทน ทำให้ลดความอ้วนยากขึ้นอีก

2. ก่อนออกกำลังกาย เราไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างเกิน 4 ชั่วโมง เพราะไม่มีโปรตีนจากอาหาร แต่แทนที่จะเอาไขมันเก่ามาใช้ ร่างกายกลับดึงเอาโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้แทน ร่างกายก็จะลดการเผาผลาญลง ก็จะอ้วนง่ายขึ้น แถมยังไม่กระชับอีกด้วย ดังนั้นควรกินโปรตีนก่อนออกกำลังกาย 10-15 นาทีเสมอ เช่น ไข่ต้ม+ผลไม้ หรือ นมพร่องมันเนย เป็นต้น หรือถ้าหลังอาหารมื้อหลักก็ควรรอสัก 1-2 ชั่วโมง เพราะขณะนั้นร่างกานยกำลังหลั่งโกรฮอร์โมน ซึ่งต้องใช้โปรตีนในการสร้างฮอร์โมนนี้ ซึ่งมันจะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และกระตุ้นให้เอาไขมันสะสมออกมาเผาผลาญขณะออกกำลังกายอีกด้วย

3. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำผลไม้ ชา กาแฟ น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมปัง ชอกโกแลต ก่อนออกกำลังกายเด็ดขาด เพราะร่างกายจะเผาผลาญเอาแต่แป้งและน้ำตาลออกไปใช้แทน

4. ควรออกกำลังกายช่วงเช้าจนถึงเที่ยงวัน เพราะเป็นการกระตุ้นการเผาผลาญพลงงานให้ทำงานได้ดีตลอดวัน

โรคที่มากับฤดูฝน

มันมากับฝน!!โรคที่ต้องระวังในฤดูฝน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ฝนตกมากขึ้น ปริมาณ ความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น แถมบางวันอากาศก็ร้อนมากกว่าปกติ เป็นผลทำให้ร่างกายปรับตัวรับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่ทัน นอกจากนี้ยังเป็นฤดูที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบ หายใจหลายชนิด ทำให้เกิดการเจ็บป่วยของโรคระบบหายใจทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่เป็นกันถ้วนหน้า ไม่ว่าเด็กเล็ก เด็กโต คุณพ่อ คุณแม่ ในวันนี้จะขอกล่าวถึงโรคระบบทางเดินหายใจในเด็กที่พบได้บ่อยๆ ขณะนี้ โดยจะแยกง่ายๆ เป็นโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน และระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง

โรคหวัด เรื่องธรรมดาที่ไม่อาจหนีพ้น…


โรคของระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่พบได้บ่อยสุดคงหนีไม่พ้นโรคหวัด แม้กระทั่งข้อมูลของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกายังพบอุบัติการณ์ ของโรคหวัดในเด็กวัยเรียนที่ถือว่าเป็นปกติประมาณปีละ 6-8 ครั้ง ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกวัยเข้าเรียนที่พอเริ่มไปโรงเรียนปุ๊บ! เป็นหวัดปั๊บ! บางคนไปโรงเรียน 2 วัน หยุด 1 อาทิตย์ บางคนไปอาทิตย์เว้นอาทิตย์ อย่าเพิ่งรีบคิดว่า ลูกของคุณพ่อ คุณแม่ ผิดปกติมากมาย เพราะว่าเดิมอยู่ที่บ้านโอกาสที่จะติดเชื้อน้อยกว่า ภูมิต้านทานก็ยังไม่แข็งแรง พอเริ่มไปโรงเรียนเพื่อนๆ เป็นหวัดโอกาสติดต่อก็เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งถ้าห้องเรียนเป็นห้องแอร์ โอกาสการติดเชื้อยิ่งง่ายกว่าปกติ โรคหวัดจะติดต่อกันโดยผ่านทางลมหายใจ และสารคัดหลั่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูก น้ำลาย เป็นต้น


สาเหตุ ของโรคหวัดในเด็กมากกว่า 60-70% เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีมากมาย ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบหายใจมีมากกว่า 200 ชนิดขึ้นไป และนอกจากนี้ อาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้ หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสจะทำให้มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เจ็บคอ ไอจาม คัดจมูก แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง ส่วนใหญ่จะมีอาการอยู่ประมาณ 5-7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ ถ้าเป็นหวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมักจะมีอาการไข้สูง บายรายอาจหนาวสั่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ซึ่งลักษณะของน้ำมูกมักจะมีสีเขียวปนเหลืองให้เห็นตั้งแต่วันแรกๆ ของโรค อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ และกดเจ็บร่วมด้วย จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบร่วมกับการรักษาตามอาการ



โรคของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง…เรื่องนี้ต้องรู้


ในที่นี้จะกล่าวถึง โรคหลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบ ซึ่ง เป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีอาการตั้งแต่รุนแรงน้อยจนถึงมาก อาการของโรคหลอดลมอักเสบ เกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ เช่น การติดเชื้อ การแพ้ และการระคายเคืองจากสารเคมี จะขอกล่าวถึงเฉพาะโรคหลอดลมอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการโดยทั่วไปมักเริ่มด้วยอาการของโรคหวัดนำมาก่อน เช่น ไข้ น้ำมูกใส ต่อมามีอาการไอ เริ่มต้นมักจะไอแห้งๆ แล้วตามมาด้วยไอมีเสมหะขาวใส หรือเหลือง ขึ้นกับชนิดของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการ เป็นได้ทั้งเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย อาการไอเป็นอาการเด่นที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ บางคนจะให้ประวัติว่าไอ มากจนอาเจียน หรือไอจนนอนไม่ได้ บางครั้งจะมีลักษณะของอาการหอบร่วมด้วย


โรคปอดอักเสบ เป็น โรคที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อปอดเอง พบได้ในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และมักจะรุนแรงมากกว่า เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการที่พบจะประกอบด้วย ไข้ ไอ หายใจหอบ หรือมีลักษณะหายใจลำบาก ในเด็กเล็กมักจะมีอาการงอแงมากกว่าปกติ ไม่ยอมกินอาหารและน้ำ แยกจากภาวะหลอดลมอักเสบ ได้จากการตรวจร่างกาย จะฟังได้ยินเสียงผิดปกติของปอด และเสียงหายใจ สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งพบได้ทั้งจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย นอกจากนั้น อาจเกิดจากการสูดสำลักอาหาร และน้ำ รวมทั้งสารเคมีต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา ในเด็กที่เป็นปอดอักเสบหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจอย่างถาวรได้ เช่น อาจจะทำให้เกิดเป็นโรคหลอดลมโป่งพอง ส่งผลทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ถดถอย และจำเป็นต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่องเหมาะสมตลอดชีวิต



โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นแล้วรีบรักษา…ไม่สายเกินแก้

สำหรับ ข้อบ่งชี้ที่ต้องรีบนำผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจมาพบแพทย์ ก็คือ เป็นผู้ป่วยเด็กอายุน้อย โดยเฉพาะถ้าน้อยกว่า 3 เดือน มีอาการไข้สูง หายใจหอบ เหนื่อย เจ็บคอ หรือมีน้ำมูกเขียวเหลืองร่วมกับมีไข้มากกว่า หรือเท่ากับ 38.5 องศา มีอาการปวดบริเวณโพรงจมูก ปฏิเสธไม่ยอมกินอาหาร และน้ำ อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 อาทิตย์



รู้เท่าทัน ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจในฤดูฝน

จะ เห็นได้ว่าในช่วงฤดูฝน หรือฤดูหนาว เด็กจะป่วยด้วยปัญหาทางเดินหายใจจำนวนมาก และบ่อยกว่าปกติ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และการแพร่ระบาดของเชื้อโรค หากคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองไม่อยากจะให้ลูกหลานต้องป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ ก็ควรให้การดูแลที่เหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกัน ตัวอย่างเช่น การจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านที่อยู่อาศัยให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่เข้าไปบริเวณที่มีคนแออัดจำนวนมาก ล้างมือก่อนรับประทานขนม หรืออาหาร รวมทั้งมีการออกกำลังกายที่เหมาะสม กินอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดก็จะช่วยให้โอกาสการติดเชื้อลดลง นอกจากนี้ ในปัจจุบันก็มีวิวัฒนาการของวัคซีนต่างๆ มากมายที่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบหายใจที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ